ศาสนาชินโต

ศาสนาชินโต เกิดเมื่อประมาณ 117 ก่อนพุทธศักราช โดยคิดตามสมัยจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่น คือ พระเจ้าจินมุ เทนโน (Jinmu Tenno) คำว่า ชินโต เป็นภาษาจีนแต่ ออกเสียงตามสำเนียงญี่ปุ่น คำนี้มาจากภาษาจีนว่า เชนเต๋า คำว่า เชน หรือชิน แปลว่า เทพเจ้า ส่วนคำว่า เต๋า แปลว่า ทาง เมื่อรวมกันแปลว่า ทางแห่งเทพเจ้า อาจหมายถึงการบูชาเทพเจ้าหรือคำสอนของเทพเจ้าหรือศาสนาของเทพเจ้าก็ได้ ส่วนในภาษาญี่ปุ่นเรียกศาสนานี้ว่า กามิโนะมิจิ (Kaminomichi) แต่ชื่อนี้ไม่แพร่หลายเท่ากับคำว่า ชินโต แต่เดิมศาสนาชินโตยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก ต่อมาเมื่อศาสนาพุทธและศาสนาขงจื๊อแผ่ขยายเข้าไปถึงประเทศญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่น จึงจำต้องตั้งชื่อศาสนาดั้งเดิมของตนเพื่อให้แตกต่างกัน ศาสนาชินโตดั้งเดิมไม่มีศาสดาหรือ ผู้ตั้งศาสนา แต่เกิดมาจากขนบธรรมเนียมประเพณีที่ถือสืบต่อกันมา มีประเพณีการบูชาเทพเจ้า และบรรพบุรุษเป็นต้น ดังนั้นศาสนาชินโตจึงไม่มีคำสอนที่แน่นอน ไม่มีคัมภีร์ที่ตายตัว เพราะแต่ละยุคแต่ละถิ่นก็มีความเชื่อแตกต่างกันไป
    ศาสนาชินโต เป็นศาสนาพหุเทวนิยม นับถือเทพเจ้ามากมาย เทพเจ้าในศาสนาชินโตก็มีหลายประเภท มีทั้งเทพเจ้าแท้ และเทพเจ้าที่ไปจากมนุษย์ เช่น พระเจ้าจักรพรรดิ วีรบุรุษในสงคราม และวิญญาณของหลายคนที่มารวมกัน เช่น เทพเจ้าแห่งขุนเขา มาจากวิญญาณมากมายของพวกคนที่เคยอยู่ตามภูเขารวมกัน เทพเจ้าแห่งทะเลก็มาจากวิญญาณจำนวนมากของพวกคนที่เคยอยู่แถบทะเลเป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีเทพเจ้าที่ไปจากสัตว์ที่คนเคารพอีกด้วย เทพเจ้าดังกล่าวจะสิงสถิตอยู่ในธรรมชาติทั่วไป เช่น ภูเขา ลำเนาไพร ท้องฟ้า ทะเลและแผ่นดิน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ในประเทศญี่ปุ่นจึงมีศาลเจ้ามากมาย จนได้นามว่าดินแดนแห่งศาลเจ้า และศาลเจ้าที่เป็นสัตว์ก็มีด้วย เช่น ศาลเจ้าสุนัขจิ้งจอก และศาลเจ้าเสือ เป็นต้น สิ่งที่เคารพเหล่านี้ชาวญี่ปุ่นเรียกรวม ๆ กันว่า กามิสะมะ (Kamisama) เหมือนกันหมด คำว่ากามิ มีความหมายกว้าง เพราะนอกจากจะหมายถึงเทพเจ้าแล้วยังหมายถึงสิ่งที่บริสุทธิ์ ทรงพลัง ทรงอำนาจ และน่าเกรงขามอีกด้วย ดังนั้นภูเขา แม่น้ำ ทะเล ทุ่งนา ป่าไม้และสัตว์ ฯลฯ ก็อาจเป็นกามิได้ด้วยเมื่อคำนึงถึงเทพเจ้าที่สิงสถิตอยู่ในสิ่งนั้นๆ ประเทศญี่ปุ่นจึงได้นามอีกอย่างหนึ่งว่า ดินแดนแห่งเทพเจ้า ส่วนเทพเจ้าที่ชาวญี่ปุ่นนับถือว่าเป็นใหญ่เหนือเทพทั้งหลาย คือ อะมะเตระสุ โอมิ กามิ (Amaterasu-omi-kami) หรือพระอาทิตย์ซึ่งเป็นเพศหญิง ส่วนสวามีของพระนางก็คือ สึกิโยมิ (Tsukiyomi) หรือพระจันทร์ เทพเจ้าของศาสนาชินโตจะมีลักษณะอย่างมนุษย์คือนอกจากจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์แล้ว ก็ยังมีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง เป็นต้น

สึกิโยมิ และ อะมะสุเทรุโอมิคามิ https://www.xuehua.us/
ศาสนาชินโตอาจแบ่งเป็น 5 สมัย ดังนี้
สมัยที่ 1 ระยะเวลาประมาณ 1,200 ปี เริ่มตั้งแต่ 117 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึง พุทธศักราช 1095 เป็นสมัยแห่งศาสนาชินโตบริสุทธิ์แท้ เพราะยังไม่ถูกอิทธิพลจากศาสนาอื่นครอบงำ สมัยนี้เริ่มตั้งแต่พระเจ้าจิมมู เทนโน ซึ่งเป็นมิกาโด หรือจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่นเรื่อยมา จนถึงศาสนาพุทธเริ่มเผยแผ่เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ศาสนาชินโตสมัยนี้มีอิทธิพลต่อชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริงเพียงศาสนาเดียว
สมัยที่ 2 ระยะเวลาประมาณ 250 ปี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1095 ถึง พ.ศ. 1343 เป็นสมัยที่ ศาสนาพุทธและศาสนาขงจื๊อเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะศาสนาพุทธมีอิทธิพลมากในช่วง 150 ปีแรก ในคัมภีร์นิฮองงิได้กล่าวยกย่องศาสนาพุทธไว้ประมาณ 50 แห่ง เช่น ในปี พ.ศ. 1188 พระเจ้าจักรพรรดิโกโตกุ ทรงยกย่องศาสนาพุทธและทรงดูหมิ่นทางแห่งเทพเจ้า และอีกตอนหนึ่ง กล่าวว่าในปี พ.ศ. 1214 มกุฎราชกุมารโชโตกุไทชิได้ทรงสละโลกออกผนวช เป็นต้น แต่ ถึงอย่างไรสมัยนี้ศาสนาชินโตก็ยังมีอิทธิพลมากกว่าศาสนาอื่น
สมัยที่ 3 ระยะประมาณ 900 ปี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1343 ถึง พ.ศ. 2243 เป็นสมัยที่ศาสนาชินโตผสมกลมกลืนกับศาสนาอื่น ทำให้ศาสนาชินโตลดความสำคัญลงมาจน นักศาสนาบางท่านกล่าวว่า ศาสนาชินโต ศาสนาพุทธ และศาสนาขงจื๊อ อาจรวมเป็นศาสนาเดียวกันก็ได้ และมีภิกษุบางรูปกล่าวว่า เทพเจ้าของศาสนาชินโตก็คือปางหนึ่งของพระพุทธเจ้า ศาสนาชินโตจึงถูกลดความสำคัญลงตามลำดับ จนกระทั่งระหว่าง พ.ศ. 2008 ถึง พ.ศ. 2230 ไม่มีการประกอบพิธีโอโฮนิเฮ หรือพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบศาสนาชินโต ซึ่งถือกันว่าเป็นพิธีกรรมสำคัญที่สุดในบรรดาพิธีกรรมของศาสนาชินโต ตลอด 8 รัชกาล
สมัยที่ 4 ระยะเวลาประมาณ 168 ปี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2243 ถึง พ.ศ. 2411 เป็นสมัยที่มีการฟื้นฟูศาสนาชินโตเป็นการใหญ่ มีการรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของศาสนาชินโต ความสำคัญของพระเจ้าจักรพรรดิผู้สืบเชื้อสายจากพระอาทิตย์ ความสำคัญของชาวญี่ปุ่นที่สืบสายมาจากเทพเจ้า และความสำคัญของประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นดินแดนที่เทพเจ้าสร้างขึ้นมา จนชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าศาสนาชินโต พระเจ้าจักรพรรดิ ประเทศญี่ปุ่น และคนญี่ปุ่น ดีกว่าเหนือกว่า ผู้อื่นโดยประการทั้งปวง ผลก็คือชาวญี่ปุ่นเป็นชาตินิยมขึ้นมาทันที และรุนแรงด้วย
สมัยที่ 5 เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2411 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เป็นสมัยที่ศาสนาชินโตได้รับการฟื้นฟูต่อจากสมัยที่ 4 โดยจักรพรรดิเมจิ (พ.ศ. 2411-2455) ผู้ทรงเปิดประตูสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ได้ทรงสั่งชำระศาสนาชินโตให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก โดยให้แยกศาสนาชินโตออกจากศาสนาพุทธและศาสนาขงจื้อ ศาลเจ้าต่างๆ ก็ให้มีเฉพาะพิธีกรรมศาสนาชินโตเท่านั้น ส่วนศาสนาอื่นจะมีพิธีกรรมของตนก็ได้ แต่ห้ามปะปนกับศาสนาชินโต ต่อมา พ.ศ. 2425 ได้ทรงแยกศาสนาชินโตออกเป็น 2 แบบ คือชินโตของรัฐกับชินโตของราษฎร์ ทั้งทรงส่งเสริมให้ชาวญี่ปุ่นเป็นชาตินิยมดังมีพระบรมราชโองการมายังกองทัพทุกเหล่า มีใจความว่า “ให้ทุกคนรักชาติ รักความกล้าหาญ และจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ แม้ชีวิตก็สละได้ ต้องเชื่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ให้ถือเท่ากับบัญชาจากสวรรค์” ตั้งแต่นั้นมา ทหารญี่ปุ่นก็ได้รับเกียรติมาก ใครทำร้ายทหารไม่ได้ ทหารจึงเป็นเสมือนตุ๊กตาไขลาน คอยทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาทุกอย่าง และในการรบกับรัสเซียเมื่อ พ.ศ. 2447-2448 ในสงครามโลก ครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นก็สามารถเอาชนะรัสเซียซึ่งเป็นประเทศใหญ่กว่าญี่ปุ่นหลายสิบเท่าได้
แหล่งที่มา: http://book.dou.us/doku.php?id=df404:9  
 โดยมากเมื่อกล่าวถึงศาสนาชินโต ก็เป็นที่รู้จักทั่วไปว่าไม่มีศาสดาหรือผู้ตั้งศาสนาเพราะศาสนาชินโตเป็นศาสนาที่เกิดสืบเนื่องมาจากขนบประเพณีในการบูชาบรรพบุรุษ และบูชาเทพเจ้าดังกล่าวแล้ว แต่เมื่อแบ่งศาสนาชินโต สามารถออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
    1. ชินโตที่เป็นของรัฐ (State Shinto) หรือชินโตศาลเทพเจ้า (Shrine Shinto)
    2. ชินโตที่เป็นนิกาย (Sectarian Shinto) ชินโตแบบแรกอาจไม่มีศาสดาก็จริงแต่ชินโตแบบหลังคือที่เป็นนิกายต่างๆ มีศาสดาแน่นอน เช่น นิกายกอนโก มีกอนโกเป็นศาสดาพยากรณ์ เป็นที่น่าสนใจว่าศาสนาที่เกิดใหม่ในญี่ปุ่น มีบุคคลที่อ้างตัวว่าได้เห็นพระเจ้าและพูดแทนพระเจ้า เข้าลักษณะศาสดาพยากรณ์อยู่หลายคน ในที่นี้จะกล่าวเพียง 2 คน คนแรกเป็นสตรี ซึ่งเป็นผู้ตั้งศาสนาเทนริเกียว ในปัจจุบันมีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 2 ล้านคน คนที่สองเป็นชายชื่อ กอนโก ไดชิน เป็นผู้ตั้งศาสนากอนโกโย มีผู้นับถือกว่าหกแสนคน ทั้งสองศาสนานี้ ต่างจากศาสนาชินโตมาก แต่กรมการศึกษาของญี่ปุ่นจัดเป็นนิกายของศาสนาชินโตที่แตกแยกออกไป ความจริงยังมีบุคคลผู้ตั้งตัวเป็นศาสดาพยากรณ์อีกหลายคน แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียง 2 คน ดังต่อไปนี้

ข้อเปรียบเทียบเรื่องศาสดาพยากรณ์
    1.   มิกิ นากายามา เป็นบุตรีของชาวนา แห่งจังหวัดยามาโตะ เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน คริสตศักราช 1798 (พ.ศ. 2341) เมื่อเธออายุได้ 41 ปี พระเจ้าผู้เป็นบิดาได้ลงมาถือเอาตัวเธอผู้เป็นเสมือนโบสถ์ที่มีชีวิต หรือโบสถ์เดินได้ของพระองค์ เธอได้สั่งสอนโดยอ้างนามของพระเจ้า มีผู้นับถือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 90 ปี ในปัจจุบันศาสนาเทนริเกียว นับเป็นศาสนาใหญ่ศาสนาหนึ่งของญี่ปุ่น มีกิจกรรมก้าวหน้าและทันสมัย ความจริงคำว่า เทนริเกียว ถ้าแปลตามตัวแปลว่าศาสนาเทนรินั่นเอง แต่คำว่าเทนรีในที่นี้หมายถึงพระนามของพระเจ้าซึ่งขึ้นต้นว่า  “เทนริ” จากคำว่า เทนริ-โอ-โนะ-มิโกโด อย่างไรก็ตามลักษณะของพระเจ้าในศาสนานี้เป็นผู้สร้างโลก เป็นต้นเดิมแห่งสิ่งทั้งปวงเช่นเดียวกับพระเจ้าในศาสนาอื่นๆ
    2.  กอนโก ไดชิน เป็นผู้ตั้งศาสนากอนโกโย หรือศาสนากอนโกนั้น เกิดเมื่อ ค.ศ. 1814 (พ.ศ. 2357) และถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 69 ปี เมื่อกอนโกอายุได้ 46 ปี เสียงของพระเจ้าผู้เป็นบิดาแห่งสากลโลกก็ได้ปรากฏลงมาเรียกร้องให้กอนโกดำเนินงานเพื่อช่วยมนุษย์ชาติให้ปลอดภัย ดังข้อความในคัมภีร์ซึ่งอ้างกันว่าเป็นคำของพระเจ้าดังต่อไปนี้
  “บุตรทั้งหลายของพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่รู้ถึงความรักของพระองค์ ปฏิบัติผิดหรือไม่เชื่อฟังพระประสงค์ของพระองค์โดยไม่รู้ตัว จึงเกิดความทุกข์ยากเดือดร้อน และเกิดความรู้สึกมืดมนต่อพรของพระเจ้า บัดนี้พระเจ้าได้ส่ง กอนโก ไดชิน มาสู่บุตรทั้งหลายของพระองค์เพื่อที่จะให้บุตรเหล่านั้นได้รู้แจ้งความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงถือว่าความสุขความเจริญของบุตรทั้งหลายของพระองค์เป็นเสมือนของพระองค์เอง ซึ่งความมีความเป็นของพระองค์เกี่ยวข้องอยู่โดยตรง”
หลักคำสอน
ศาสนาชินโตสอนให้สักการะเคารพบรรพบุรุษ กตัญญูกตเวทีต่อผู้วายชนม์ บูชาปฏิบัติต่อผู้สูงอายุกว่า จงรักภักดีต่อพระจักรพรรดิ ครู และอาจารย์ คือ เทพบิดร องค์พระจักรพรรดิมีสิทธิ์ทุกอย่างที่บิดามารดามีต่อบุตร วิญญาณเป็นของไม่ตาย การตายเป็นการเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่ชั่วประเดี๋ยวเดียว เมื่อผู้ที่เคารพถูกดูหมิ่นให้แก้แค้นให้ ไม่ควรอยู่ ร่วมฟ้ากับบุคคลที่ดูหมิ่นผู้ที่ตนสักการะ เมื่อแก้แค้นไม่ได้ให้ทำฮาราคีรีหรือคว้านท้องเสียดีกว่า ความกล้าหาญและไม่กลัวตายคือเสบียงในสงคราม ส่วนได้เสียของพระจักรพรรดิและ ประเทศชาติคือส่วนที่ทุกคนต้องรับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดที่สุด
        คำสอนสำคัญบางประการของศาสนาชินโตมีดังนี้
1. เริ่มด้วยการบูชาความงามของบุปผชาติ ลงท้ายด้วยการฆ่าตัวตาย
2. ความซื่อสัตย์ ความเคารพ และความภักดีต่อผู้ใหญ่ เป็นคุณธรรมอันสูงสุดเหนือ คุณธรรมทั้งปวง
3. ความภักดีต่อพระจักรพรรดิและเจ้านายของตน เป็นชีวิตอันมีเกียรติสูงส่ง
4. ความดีงามที่เราต้องการ คือ การสืบสายกันมาแห่งบรรพบุรุษด้วยความภักดี ความเมตตาปรานีและความสามัคคีกัน
5. เด็กและคนหนุ่มต้องนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในครอบครัว หญิงสาวต้องนอบน้อมคนแก่ และหญิงต้องเคารพชาย
6. จงรักและเป็นคนดีต่อมารดาบิดาของตน จงเมตตาปรานี จงสามัคคีระหว่าง ครอบครัวกับญาติพี่น้อง จงซื่อสัตย์ต่อเพื่อน จงรักษาความประพฤติของตนให้สุภาพ และกระเหม็ดกระแหม่ รักตัวมากเท่าใดจงรักคนอื่นมากเท่านั้น
7. หญิงพึงเคารพต่อชาย ชายพึงซื่อตรงต่อรัฐ บุตรธิดาพึงเคารพต่อมารดาบิดาของตน
8. ความจริงเป็นคุณธรรมเบื้องต้นและสุดท้ายของสิ่งทั้งปวง ถ้าปราศจากความจริง คุณธรรมอย่างอื่นก็ไม่มี
9. ใครพูดคำหยาบและทำชั่วแก่ท่าน ท่านอย่าตอบเขาด้วยความชั่ว มีอยู่อย่างเดียวที่ต้องทำ คือ การงานอันซื่อสัตย์เพื่อเกียรติในการงานของท่าน
10. ดาบญี่ปุ่นมีคมข้างหนึ่ง มีสันข้างหนึ่ง มุ่งหมายเพื่อใช้ประโยชน์ได้ 2 อย่าง คือ ฟันผู้ถือเองข้างหนึ่งในเมื่อเขามีความผิด และตีศัตรูอีกข้างหนึ่งเมื่อเขารังแกเรา
 สัญลักษณ์ของศาสนา

     1. โทริ ได้แก่ ประตูอันมีเสา 2 เสา มีไม้ 2 ท่อนวางอยู่ข้างบน ซึ่งมีประจำอยู่ที่ศาลเจ้าเกือบทุกแห่ง (ศาลเจ้าเล็กๆ อาจไม่มีโทริ) เป็นเครื่องหมายการเข้าสู่บริเวณศาลเจ้าของศาสนาชินโต
   
  2. กระจก มีรูปลายดอกไม้
   ทั้ง 2 สัญลักษณ์นี้พอจะให้รู้ว่าเป็นศาสนาชินโตได้ในบางกรณี แต่สัญลักษณ์ที่มีมาแต่โบราณเป็นสมบัติสืบทอดกันมากับบัลลังก์แห่งพระจักรพรรดิและมีความหมายทางคุณธรรม น่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์กว่า นั่นก็คือ สิ่งที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า ซานชูโนะ-ชิงกิ อันได้แก่ สมบัติ 3 ประการ คือ
1)    กระจก (ยะตะ โนะ คางะมิ)
2)    ดาบ (คุสะนะงิ โนะ ซิรุคิ)
3)    รัตนมณี (ยาสะกะนิ โนะ มาคะ ตามะ) 


    กระจก 八咫鏡(やたのかがみเป็นเครื่องหมายแห่งปัญญา ตามประวัติกล่าวไว้ว่า พระสุริยเทพี-อะมะเตระสุ โอมิ กามิ ได้มอบให้หลานชื่อ นินิคิโน มิโกโด มาปกครองเกาะญี่ปุ่น โดยเหตุนี้ กระจกอาจเป็นเครื่องหมายแห่งพระสุริยเทพีนั้นก็ได้ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ ณ ศาลเจ้าอิเซ
   ดาบ เป็นเครื่องหมายแห่งความกล้าหาญ ในฐานะเป็นการปรากฏแห่งเทพเจ้าปัจจุบันประดิษฐานไว้ที่ศาลเจ้าอะสุตะ
  รัตนมณี เป็นสัญลักษณ์แห่งการบำเพ็ญประโยชน์ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ประจำ ณ พระราชวังแห่งพระจักรพรรดิ
    สรุปแล้วสมบัติทั้ง 3 นี้ก็เป็นสัญลักษณ์ หมายถึง คุณธรรมทั้ง 3 คือ ปัญญา กล้าหาญ และการบำเพ็ญประโยชน์ อันเป็นคุณธรรมสำคัญในศาสนาชินโตนั่นเอง นับว่าเป็นการพัฒนาศาสนาชินโตในด้านคุณธรรมได้เป็นอย่างดี
ฐานะของศาสนาในปัจจุบัน
    ศาสนาชินโตของรัฐถูกยุบเลิกไปแล้ว ตั้งแต่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ทางราชการ ไม่บังคับให้คนญี่ปุ่นต้องเคารพบูชาเทพเจ้า และนับถือพระเจ้าจักรพรรดิดังเทพเจ้าอีกต่อไป จึงเป็นเรื่องส่วนตัวที่ใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ดังนั้นศาสนาชินโตในปัจจุบันจึงอาจแบ่งได้ เป็น 5 ลักษณะ คือ
1.    ชินโตแห่งราชสำนัก (Imperial Shinto) เป็นเพียงพิธีกรรมสำหรับราชสำนักเท่านั้น
2.    ชินโตศาลเจ้า (Shrine Shinto) เป็นพิธีกรรมสำหรับประชาชน
3.    ชินโตนิกาย (Sectarian Shinto) มีนิกายมากมาย แต่นิกายใหญ่มีอยู่ 13 นิกาย
4.    ชินโตนิกายใหม่ (Neo-Sectarian Shinto) เป็นชินโตแบบที่ 3 นั่นเอง เพียงแต่ได้รับรองให้เป็นศาสนาตั้งแต่ พ.ศ. 2488 เป็นต้นมาหลังจากศาสนาชินโตรัฐถูกยุบแล้ว
5.    ชินโตชาวบ้าน (Popular Shinto) เป็นเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์และพิธีกรรมที่ ชาวบ้านนิยมปฏิบัติกันมา
   เพราะฉะนั้น ศาสนาชินโตในปัจจุบันจึงลดความสำคัญลงมาก เพราะแตกแขนงออกไป จึงมีอิทธิพลต่อชาวญี่ปุ่นน้อยลง จนชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยหันไปนับถือศาสนาพุทธ อาจกล่าว ได้ว่า ศาสนาพุทธโดยเฉพาะนิกายเซน มีอิทธิพลต่อชาวญี่ปุ่นมากกว่าศาสนาชินโต แต่ ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่แม้จะนับถือศาสนาพุทธ ก็ยังไม่ยอมเลิกนับถือศาสนาชินโต ทั้งนี้ก็เพราะการนับถือศาสนาชินโตเป็นการรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติไว้ ส่วนที่นับถือศาสนาพุทธก็เพื่อตอบสนองความสนใจในโลกหน้าและเพื่อสร้างคนให้เป็นคนดี ควรค่าแก่ความ เป็นพลเมืองดีของชาติ หรือนับถือศาสนาชินโตเพื่อความเป็นบ้าน และการนับถือศาสนาพุทธ เพื่อความเป็นเมือง หรือการนับถือศาสนาชินโตเพื่อชาตินี้ ส่วนการนับถือศาสนาพุทธเพื่อ ชาติหน้า
     สาเหตุสำคัญที่ทำให้ศาสนาชินโตเสื่อมลง มาจาก 2 สาเหตุใหญ่ คือ
    1. ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ศาสนาชินโตของรัฐถูกยุบเลิก อนุชนรุ่นใหม่รู้เรื่องศาสนาชินโตน้อยลงตามลำดับ เพราะไม่มีการสอนตามโรงเรียนและในสถาบันการศึกษาต่างๆ
   2. ชาวญี่ปุ่นต้องการเป็นคนทันสมัย จึงนำวิทยาการสมัยใหม่มาใช้อย่างประเทศ ตะวันตก จนประเทศญี่ปุ่นก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำให้ผู้คนไม่ค่อยมีเวลามาสนใจศาสนา อิทธิพลของศาสนาชินโตจึงลดลงตามลำดับ จนมีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ประกาศตนไม่นับถือศาสนาใดเลย ความเป็นชาตินิยมจึงลดลงมาก ดังนั้นในปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นจึงมีความเป็นอยู่ต่างๆ กัน จนมีชาวญี่ปุ่นบางคนเห็นว่า ถ้าหากปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ ประเทศญี่ปุ่นจะต้องประสบความหายนะแน่นอน จึงเริ่มช่วยกันฟื้นฟูศาสนาชินโต แต่ก็ยังได้ผลน้อย เพราะชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่มีอย่างอื่นอยู่ในจิตใจแทนศาสนาชินโตแล้ว
    ปัจจุบัน ศาสนิกศาสนาชินโตมีประมาณ 3,162,800 คน ( Encyclopedia Britannica 1994 : 269) นอกจากนี้ก็ยังมีศาสนิกชินโตอีกมากในฮาวาย รัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกา และอีกแห่งหนึ่งคือ ประเทศบราซิล ซึ่งทั้ง 2 แห่งนี้มีชาวญี่ปุ่นไปตั้งรกรากทำมาหากินอยู่มาก เช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้